คำว่า"ฮีต"ตรงกับคำในภาษาบาลีว่า"จาริตตะ"และตรงกับคำในภาษาสันสกฤต
ว่า"จาริตระ" ซึ่งหมายถึงขนบธรรมเนียม แบบแผน ความประพฤติดีงามและคำ
ว่า"ฮีต"ของภาษาอิสานย่อมาจากคำว่า"จาฮีต"หมายถึงขนบธรรมเนียมที่เคย
ประพฤติกันมาจนกลายเป็นประเพณี มีทั้งหมด 12 ฮีต ฮีตที่ 3 เดือนสามคือ
การทำบุญข้าวจี่ มาฆบูชา ดังคำกล่าวในภาษาพื้นบ้านว่า
"ฮีตหนึ่งนั้นเถิงเมือเดือนสาม
จงได้พากันจี่ข้าวจี่
ไปถวายสังฆเจ้าเอาแท้หมู่บุญ
กุศลยังสินำด้ำตามเฮามื้อละดาบ
หากธรรมเนียมจังซี้มีแท้แต่นาน
ให้ทำไปทุกด้านทุกทีเอาบุญ พ่อเอ้ย
คองหากเคยมีมาแต่ปางปฐมพุ้น
อย่าพากันไลถิ่มประเพณีตั้งแต่เก่า
บ้านเมืองเฮาสิเศร้าภัยฮ้ายสิแลนตาม"
ตำนานข้าวจี่ในพระธรรมบทระบุถึง หญิงคนหนึ่งชื่อ นางปุณณทาสี เป็นคนยากจน
ต้องไปเป็นทาสีรับใช้ของเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์วันหนึ่งเศรษฐีใหนาง
ไปซ้อมข้าว นางซ้อมตลอดวันก็ไม่หมด ตกตอนเย็นนางก็จุดไฟซ้อมต่อไปไดรับความ
เหน็ดเหนื่อยเป็นอันมาก พอถึงตอนเช้ามานางก็เอารำทำเป็นแป้งจี่ เผาไฟให้สุกแล้วใส่
ไว้ในผ้าของตนเดินไปตักน้ำปราถนาจะบริโภคด้วยตนเอง ครั้นถึงกลางทางได้พบ
พระศาสดาเกิดความเลื่อมใสคิดว่าเราเป็นคนยากจนในชาตินี้ก็เพราะมิได้ทำบุญ
ไว้แต่ปางก่อนและชาตินี้เราก็ยังไม่ได้ทำบุญเลย เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วนางก็น้อมเอาข้าว
แป้งจี่นั้นเข้าไปถวายพระศาสดา พระองค์ทรงรับแล้ว และนางก็คิดอีกว่าพระศาสดา
คงไม่เสวย เพราะอาหารเศร้าหมอง พระพุทธองค์ทราบความในใจของนางตลอด
จึงประทับเสวยต่อหน้าของนาง ครั้นเสวยเสร็จแล้วก็ตรัสอนุโมทนากถาโปรดนางจน
สำเร็จโสดาปัตติผล เป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา กาลํ กตุวา ครั้นนางทำกาล
กริยาแล้วก็ได้ไปเกิดบนดาวดึงส์สวรรค์เสวยทิพย์สมบัติ อยู่ในวิมานทองอันผุดผ่องโสภา
มีนางฟ้าแวดล้อมเป็นยศบริวาร ดังนั้น ชาวนาเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วจึงพากันทำบุญข้าวจี่
จึงมีอานิสงฆ์มาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น